วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" กับปรากฏการทางการเมืองในปัจจุบัน


"ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" กับปรากฏการทางการเมืองในปัจจุบัน


จากการอ่านและได้จับประเด็นสำคัญของเรื่อง “ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” ซึ่งเป็นนิยายเชิงการเมืองไทยที่ได้รางวัล ซีไรต์ใน พ.ศ. 2540 เล่มนี้แล้ว ยังแสดงถึงความงามในหลาย ๆ ด้าน “งาม” ในที่นี้คือ หนึ่ง งามในด้านการใช้ภาษาที่ร้อยเรียงออกมาให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและทรงพลัง มีวิธีการที่แยบยลในการโน้มน้าวผู้อ่านให้คล้อยตามได้ง่ายดาย สอง งามในการหยิบยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยนำเสนอออกมาผ่านตัวละครหลักทั้งที่มีชีวิตอยู่จริงและที่สมมติขึ้นเสมือนจริงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สาม งามในด้านการพรรณนาธรรมชาติ สรรพสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ที่มักนำไปใช้เป็นบทนำเรื่อง ก่อนนำเข้าสู่เนื้อเรื่องเพื่อคั่นอารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่านให้ผ่อนคลายขึ้น สี่ งามในด้านการตัดต่อเหตุการณ์และการดำเนินเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อนบนเนื้อหาที่ซับซ้อน และยากที่บุคคลธรรมดาจะเข้าถึงความจริงบนประวัติศาสตร์การเมืองไทย ห้า งามในการใช้มุมมอง แง่คิด คติเตือนใจ รวมถึงการสอดแทรกความคิดเห็นที่มาจากสองมุมมองหรือสองแนวคิด แต่ทั้งสองแนวคิดนี้ กับตั้งอยู่ บนฐานความต้องการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกันคือ “ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง” และสุดท้ายในส่วนของท้ายบทแต่ละบทนั้น ยังได้อ้างอิง นำเอาถ้อยคำหรือบทความที่มีเนื้อหาสอดคล้องหรือส่งเสริมกับเนื้อหาภายในบท ของนักเขียนที่มีชื่อเสียง หลาย ๆ ท่านมานำเสนอ ซึ่งนับเป็นการปิดท้ายบทด้วยความงามเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมภาพบุคคล ภาพเหตุการณ์ แผนผังสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ไว้เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นและเข้าใจ ควบคู่ไปกับการอ่านเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น

แนวคิดในการมองสภาพที่แท้จริงของปัญหา สื่อ บุคคล และสิ่งรอบตัวต่าง ๆ ที่สะท้อน สภาพการเมืองการปกครองไทย สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาณสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงช่วง “พฤษภาทมิฬ” ใน พ.ศ. 2535 ที่มีสาเหตุมาจากความไม่พอใจของประชาชน เนื่องจากมีการสืบทอดอำนาจของกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม จนเป็นเหตุของการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล กับนิสิตนักศึกษา ประชาชน ที่เรียกตนเองว่าเป็นประชาธิปไตย จนถึงขั้นเกิดเหตุการณ์นองเลือด ที่เกิดขึ้นหนึ่งในหลายครั้งบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย


เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงวิธีการสูญเสียและการได้มาซึ่งอำนาจด้วยวิธีการต่าง ๆ การส่งต่ออำนาจ การสืบต่ออำนาจ และการล้มล้างอำนาจ การก่อกบฏการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของมันว่าจะตกอยู่กับฝ่ายใด ฝ่ายที่แพ้หรือชนะ กลุ่มนายทุนและกลุ่มผลประโยชน์ รวมถึงอุดมการณ์ของบุคคล ฯลฯ ตลอดเวลานักการเมืองหรือกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา มักจะอ้างประชาธิปไตย อ้างรัฐธรรมนูญ ในการดำเนินการเพื่อการได้มาซึ่งอำนาจ มากกว่าจะใช้ประชาธิปไตย หรือ รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดแก่ประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ โดยหลาย ๆ กลุ่มฯ ได้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสจากการประกาศใช้นโยบาย วิธีการบริหารบ้านเมืองที่แลดูอาจทำให้ประเทศชาติมั่นคงและพัฒนาให้เป็นสากลขึ้น ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งกันเองภายในกลุ่ม และนอกกลุ่มด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเล่นกับอำนาจของตน ได้ดีและยาวนานที่สุดเพียงใดเท่านั้นเอง โดยมีหลักการง่าย ๆ คือ วิธีการทางการเมืองที่พัฒนา มิใช่ประชาธิปไตยที่หลายคนคิดว่าพัฒนาขึ้น นับตั้งแต่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แม้จะไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง จนถึงในช่วงหกสิบปีต่อมาที่ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาขึ้นมาตามลำดับขั้นตอนของมันเอง มีขั้นตอน กระบวนการ การถ่ายเทอำนาจจากบุคคลหนึ่งไปหาอีกกลุ่มบุคคลหนึ่ง โดยถ่ายทอดผ่านการดำเนินชีวิตของตัวละครสองคน ที่แตกต่างกันในด้านการใช้ชีวิตและด้านอุดมการณ์ แต่ทั้งสองมีจุดมุ่งหมายปลายทางเพื่อการได้มาชึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน และได้มาซึ่งการมีประชาธิปไตยที่แท้จริง เปรียบเสมือนทางเดินเพื่อไปหาประชาธิปไตย แต่เดินเป็นแนวที่ขนานกันไป ไม่สามารถจะใช้วิถีร่วมกันได้ เนื้อหาแฝงในเรื่องนี้ อาจจะยากต่อความเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเรียกว่า “เส้นขนาน” เส้นขนานหมายถึงเส้นตรงสองเส้นที่อยู่บนระนาบเดียวกัน ไม่ตัดกัน และมีระยะห่างระหว่างเส้นทั้งสองเท่ากันเสมอ ไม่มีทางที่จะบรรจบกันแต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เส้นขนานทั้งสองเส้นนี้จะไม่รู้จักหรือไม่มีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนเลย ในบางทีเส้นทั้งสองเส้นอาจจะรู้จักคุ้นเคยกันและรู้จักกันมาก่อนเป็น

อย่างดี ดังตัวละครที่สมมุติขึ้นมาก็อาจเป็นได้ แต่ทั้ง ๆ ที่วิถีประชาธิปไตยนั้นมีอยู่แค่วิถีเดียว หากเพียงแต่แตกต่างกันโดยตัวละครในการดำเนินเรื่องทั้งสองคนนั้นที่ใช้ชีวิตและยืนอยู่บนอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน คือ ทั้งสองคนมีบทบาทและหน้าที่ตามวิถีของตน มีวิธีของตนเองที่กระทำหรือปฏิบัติ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง”

“ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” กับปรากฏการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันนั้น หนังสือเล่มนี้ได้เผยแพร่และสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิด ออกมาโดยผ่านคำพูดของตัวละครในเรื่อง และมีอยู่หลาย ๆ คำพูดได้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการเมืองการปกครองไทยในปัจจุบัน สามารถที่สะท้อนหรืออธิบายถึงความเป็นมาของเหตุการณ์ต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน ณ ที่นี้ขอหยิบยกถ้อยคำเด็ด ๆ ที่ปรากฎอยู่บางถ้อยคำของตัวละคร ที่พูดเพื่อเป็นการสะท้อนถึงปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในสังคมปัจจุบันได้ดี ดังนี้ เริ่มต้นด้วยกลุ่มถ้อยคำที่กล่าวขึ้นโดยมีเนื้อหาที่สอดคล้องกันว่า “ประวัติศาสตร์มันก็เดินซ้ำไปตามรอยเดิมอยู่เรื่อยแหละ ตราบใดที่ธรรมชาติของคนเรายังไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าในยุคสมัยไหนมันก็ยังมีคนที่กระหายอยากได้อำนาจ มีคนที่อยากปลดแอก มีคนที่อยากเปลี่ยนแปลง อยากปฏิวัติอยู่ตลอดเวลา และก็มีนักฉวยโอกาส มีวีรบุรุษจอมปลอม มีคนทรยศ มีแพะรับบาป”1คำพูดนี้ได้สะท้อนถึงสภาพปัญหาความเป็นจริงของสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ว่า นักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบทอดและทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยของไทย ให้ดำเนินไปตามรูปแบบที่พึงปะสงค์ ด้วยความโปร่งใส และทำเพื่อผลประโยชน์อันสูงสุดแก่ประเทศชาติ แต่นักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ กับฝักใฝ่อยู่แต่ในอำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ ผลประโยชน์ส่วนตน และการเอาตัวรอดโดยมิได้ตั้งอยู่บนจรรญาบัญที่ดี การไม่มีความรับผิดชอบ ของนักการเมือง ดังคำพูดที่ว่า “เมื่อเล่นหมากรุกการเมือง จงเหลือหนทางถอยหนีไว้เส้นทางหนึ่งเสมอ”2

ในเรื่องที่ตัวละครพูดและแสดงทัศนคติถึงเรื่องของอำนาจคือ “อำนาจก็เป็นเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่งทุกคนรู้ว่ามันเป็นของอันตราย ทุกคนเคยเห็นความร่ายกาจของมัน แต่ก็มิวายที่จะลองลิ้มชิมมันดู และก็ตกอยู่ในบ่วงรัดของมันเสียทุกคนทุกทีไป”3 คำพูดนี้ได้สะท้อนออกมาให้เห็นโทษของอำนาจโดยเปรียบเทียบอำนาจกับยาเสพติด อำนาจเป็นเรื่องที่ไม่จีรังยั่งยืน และผลกระทบจากการใช้อำนาจ คำพูดเรื่องราวเหล่านี้สามารถนำไปยึดถือเป็นหลักการทำงานของนักการเมืองได้เป็นอย่างดีอีกข้อหนึ่ง


อีกกลไกสำคัญหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย คือ อำนาจตุลากาล ได้มีคำพูดที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของศาล คือ “สิ่งที่คาดไม่ถึงเป็นเรื่องของศาลสถิตยุติธรรมก็พลอยตกเป็นเครื่องมือของอำนาจนี้ด้วยอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ผมเชื่อว่าถ้าสถาบันศาลถูกทำลายเมื่อไหร่ เมื่อนั้นบ้างเมืองห็เข้าสู้กลียุค”4 คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของผู้ที่เคารพ เลื่อมใสศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยเกินไปเพราะคาดหวังว่าจะได้รับความชอบธรรมจากศาลสถิตยุติธรรม แต่กลับโดนอำนาจแฝงของกลุ่มบุคคลใช้อำนาจศาลเป็นเครื่องมือ ในการเล่นเกมการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพวกพ้องตน และหรือนำไปกลั่นแกล้งคนดี ผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เป็นธรรม ที่เรียกว่า “แพะรับบาป” หรือผู้ที่อยู่ต่างฝ่ายกับตนโดยมิได้คำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความน่าเชื่อถือของศาลสถิตยุติธรรมในสังคม ดังที่เห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในสังคมปัจจุบัน

แนวคิดที่สะท้อนความเป็นจริงของสังคมในแง่มุมและค่านิยมที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ช่วงเหตุการณ์หนึ่ง โดยพาดพิงถึงสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตย คือ “พวกคุณไล่พวกเขาเข้าป่าแล้วบอกว่าพวกเขาขายชาติ ผมเชื่อว่าเด็กหนุ่มพวกนี้รักชาติไม่น้อยไปกว่าพวกคุณหรอก คอมมิวนิสต์เป็นเผด็จการร้ายแรง --- พวกคุณก็เป็นเผด็จการเช่นกัน แต่ปากร้องป่าว ๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยผู้รักชาติ...”1 และสุดท้ายเป็นคำพูดที่ว่า“น่าเศร้าที่ความเจริญทางโลกไม่ได้ช่วยพัฒนาความเป็นมนุษย์ขึ้นเลยเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินหรือพม่าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกใน พ.ศ.นี้ก็ยังเกิดขึ้น รวมทั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬของเรา แต่ในยุคโลกาภิวัติน์ที่เต็มไปด้วยเครื่องโทรคมนาคม แทบไม่มีความลับอะไรที่สามารถปิดบังประชาชนได้อีกต่อไป เรารู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นที่มุมไหนของโลก”2 คำพูดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าที่จะกระทำการบางอย่างโดย อุกอาจ รุนแรงกับประชาชน ทั้ง ๆ ที่ในขณะนี้ประชาชนสามารถเข้าถึง และตรวจสอบข้อมูล หรือทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว

งานเขียน “ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” เป็นหนังสือของ วินทร์ เลียววาริณ เรื่องนี้เป็นการจำลองภาพในเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความสำคัญในยุคต่าง ๆ การสอดแทรกเนื้อหาสาระ คำพูดของตัวละครที่สะท้อนสภาพความเป็นจริงในแต่ละยุค รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์สองแบบ โดยถ่ายทอดผ่านการดำเนินชีวิตของตัวละครสองคน ที่แตกต่างกันในด้านการใช้ชีวิตและด้านอุดมการณ์ แต่ทั้งสองมีจุดมุ่งหมายปลายทางเพื่อการได้มาชึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียนกัน และได้มาซึ่งการมีประชาธิปไตยที่แท้จริง เปรียบเสมือนทางเดินเพื่อไปหาประชาธิปไตย แต่เดินเป็นแนวที่ขนานกันไปไม่สามารถจะใช้วิธีร่วมกันได้ ยังมีคำพูดและเหตุการณ์ที่อธิบายถึงการดำเนินไปของระบอบประชาธิปไตยของไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วย น้ำตาของผู้สูญเสีย กลิ่นคาวเลือด ความขัดแย้งบาดหมาง การหักหลังช่วงชิงอำนาจกัน แต่ในทางกลับกันนั้น อาจจะเกิดเพื่อนรัก ดังที่ผู้เขียนสมุมติขึ้นมาเป็นตัวละครดำเนินเรื่องก็อาจเป็นได้ ในท้ายที่สุดนี้ อาจกล่าวเป็นการสรุปได้ในที่นี้ว่า “คุณเคยคิดไหมว่าประชาธิปไตยเมืองไทยเราก็คล้ายต้นไทรใหญ่ต้นนั้น ส่วนอำนาจเป็นเหมือนลมพายุ พอมันพัดกรรโชกที ต้นไทรก็ปั่นป่วนที แต่ถึงยังไงต้นประชาธิปไตยต้นนี้ก็ยังอุตสาห์ผ่านร้อนผ่านหนาว ยืนหยัดมาได้ตลอด”3 โดยเปรียบประชาธิปไตย คือ ต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงดิน แข็งแรง คงทน และเติบโตตามวิถีของตน ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน นั้นมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับทุกยุคทุกสมัย ใช้ได้กับสถานการณ์ต่าง ๆ มาโดยตลอด

2 ความคิดเห็น:

  1. เหน ด้วย กับ ประชาธิปไตย.....ที่ ทุก วันนี้ ถูก ซื้อ โดย...คนที่มี กะตัง...

    บล็อก ถ้า ใส่ สี สัน อิก นิด จะ ดี มาก เลย ค่ะ

    ตอบลบ
  2. มีเนื้อหาที่ค่อยข้างดีคะ....และบล็อกก้อสวยดีคะ..มีสีสันดี

    น่าจะเพิ่มเนื้อหาเพิ่มเติมหน่อยนะคะ...

    ตอบลบ